"Well Come to my life"

ชีวิตคือทางที่เลือกได้

9/06/2556

GotoBeijingByTrain | final : Beijing,Finally We met😍

ความเดิมตอนที่แล้ว พวกเราตัดสินใจเดินตามความฝัน นั่งรถไฟจากหัวลำโพง กรุงเทพ สิ้นสุดที่ปักกิ่ง ประเทศจีน
ตามเส้นทาง 
พวกเราใกล้จะถึงสถานีสุดท้ายปลายทางปักกิ่งกันแล้ว!!


18/03/56
พวกเรากลับมายังสถานีรถไฟเดิม เพื่อรอขึ้นรถไฟไปปักกิ่ง
มาถึงจีนทั้งที่ไม่คุยเรื่องห้องน้ำไม่ได้ ตั้งแต่มาจีนยังไม่เคยเสี่ยงเข้าห้องน้ำสาธารณะมาก่อน 5555 หลักการของพวกเราจะเข้าห้องน้ำตามแมคโดนัล เคเอฟซีตลอด เพื่อสุขอนามัยที่ดี 555 คราวนี้ปวดมากจริงๆเลยเดินไปห้องน้ำแถวๆสถานี
กลิ่นจากห้องน้ำลอยเข้ามาเตะจมูกตั้งแต่ 200 เมตรที่เดินเฉียดไปใกล้ แต่เอาหน่า ลองเดินเข้าไปดู อื้อหือออ ไม่อยากบรรยายให้นึกภาพตามเลย คืออ มีอุนจิ เรียงรายกันตั้งแต่หน้าประตู โถนี่ไม่ต้องพูดถึง อารมณ์ประมาณว่า ปวดมากรีบวิ่งมาปล่อย โดยไม่ดูเล้ยย ว่ารูส้วมอยู่ตรงไหน เล็งไม่ตรงกันสักอันเลยย เราไม่ไหว แทบกระอักเอาตัวเองออกมาโดยเร็ว เลยเดินไป โรงแรมแถวนั้น ทำตัวเป็นแขกแล้วเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำเลย หลักการอีกอย่างคือ หาร้านอาหารที่มีห้องน้ำ ส่วนใหญ่จะโอเคมาก 

เวลา 18.55 น. เวลานี้ก็มาถึง นั่งรถไฟตูดบานข้ามวัน ไปปักกิ่ง ตั๋วพร้อม คนพร้อม ใจพร้อม เราทำได้
เราขึ้นรถไฟขบวน K 22 รถไฟเหมืิอนที่เรานั่งไปกุ้ยหลิน แต่ยาวกว่า 
พวกเราได้นั่งเบาะแยก สามที่ติดกัน และแยกอีก 1 ที่ มีชาวจีน 3 คนนั่งฝั่งตรงข้าม เราเจอชาวจีนหลายคนขึ้นมาพร้อมเรา มีคนขึ้นพร้อมพวกเราเพียบเลย ฝั่งตรงข้ามเป็นคุณน้าชาวจีนที่ถือเสบียงขึ้นมาเต็ม กับน้องผู้ชายชาวจีนนิสัยดี อีกฝั่งเป็นเฮียหน้าตาเป็นมิตรมากับภรรเมีย แกจะเดินไปๆมาๆระหว่างโบกี้คุยกับคนนู้นคนนี้เหมือนรู้จักกันมาก่อน(อีกแล้ว) 555  คนบนรถไฟช่วยกันยกกระเป๋าไปไว้บนที่วางกระเป๋า ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันมาก่อน นั่งไปสักพัก คุณน้าชาวจีนก็ยื่นแอ๊ปเปิ้ลให้พวกเรากิน สักพักก็ยื่นไข่ต้มให้พวกเราอีก 555 ซึ่งก็แน่นอน เรารับหมด พวกเราไม่มีอะไรจะให้คุณน้า มีแต่มาม่าจีน 
นั่งกันไปสักพัก เริ่มมืดลง ทุกคนบนรถไฟจัดแจงหาที่นอนของตัวเอง ขาพาดไปมาตามทางเดิน
รวมถึงพวกเราด้วย พยายามจัด position ให้ตัวเองสบายที่สุด แต่จะบอกว่า ไม่ว่าจะเอียงมุมไหน ท่าไหน เราก็เมื่อย 555 นอนกันหลับๆตื่นๆตลอดทาง รถไฟจอดสถานีไหนก็จะมีคนทยอยขึ้นลงตลอด แต่ที่ยังอยู่กับเราตลอดคือ น้าชาวจีน น้องผู้ชาย และ เฮีย

19/03/56
พอเช้าวันใหม่เราก็เห็นคนเริ่มโล่งเลย เดินไปชมตู้เสบียงบนรถไฟซะหน่อย
โต๊ะสบายใช้ได้ พอคลายความเมื่อยได้บ้าง
 สั่งอะไรมากินหน่อย ชี้มั่วๆไป ได้มาเป็นหมั่นโถว ข้าวต้ม และข้าวผัด

แล้วก็โดนไล่กลับเพราะเค้ามีเวลาปิดเปิดครัว
น้าสาวคนนี้เห็นเราอ่านหนังสือภาษาไทยก็เลยรู้ว่าพวกเราเป็นคนไทย ไท่กั๋ว แปลว่า เป็นคนไทย เป็นคำที่พวกเราใช้หากิน เวลามีใครถามเราว่ามาจากไหน 555 น้าเค้าก็เลยอยากลองอ่านหนังสือไทยดูบ้าง ว่าแล้วพวกเราก็จัดให้จ้ะ ท่าทางนางจะชอบแม้จะอ่านไม่ออก
เรานั่งไปสักพัก คนเริ่มทยอยขึ้นรถไฟเยอะเรื่อยๆ พวกเราเลยแบ่งที่นั่งให้สาวน้อยจีนคนนึงที่ขึ้นมาใหม่ สาวน้อยคนนี้อัธยาศัยดี คุยภาษาปะกิตกะพวกเราได้บ้่าง บอกว่าเป็นพยาบาล กำลังกลับบ้าน พอเค้ารู้ว่าพวกเราเป็นคนไทยก็มาขอถ่ายรูปใหญ่เลย เหมือนของแปลก
ทางซ้ายมือที่ใส่แว่น เป็นน้องชายชาวจีนที่ขึ้นมากับพวกเราตั้งแต่กุ้ยหลิน ริมหน้าต่างเป็นน้าสาว ตรงกลางเพิ่งขึ้นมา เลยให้เนียนมาถ่ายกับพวกเราด้วยเลย 555 สาวน้อยพยาบาลคือคนริมขวาสุด น่ารักเป็นมิตรมากๆ ก่อนลง ได้ให้ พวงกุญแจทำมือเองกับพวกเราด้วยเป็นของที่ระลึก พวกเราไม่มีอะไรจะให้เลยให้เหรียญ 10 บาทไทยกลับไป ดูเค้าปลาบปลื้มมากๆ
พอเย็นๆ ค่ำๆ เฮียอีกฝั่งแกก็กลับมานั่งที่ของแก และเริ่มชวนเราคุย พอรู้ว่า พวกเราเป็นคนไทย ทีนี้ คนทั้งรถเริ่มมองมาที่เรา มีจีนมุงอีกแล้ว 5555
ทุกคนบนรถเริ่มชะโงกหน้ามาดูพวกเราเหมือนของแปลก มีพี่จีนหน้าคล้ายๆพี่หม่ำมาเปิดไกด์บุ๊คภาษาจีนของพวกเราและพยายามชวนคุย พี่แกตลกสนุกสนาน สักพักก็เริ่มชวน บิ๊ก หนึ่งในคณะเดินทางของเรา ทำการโชว์ความเป็นลูกผู้ชายกันด้วยการงัดข้อ 555 โดยมีอาเฮียเป็นกรรมการ
คนในโบกี้เริ่มสนอกสนใจพวกเรา เข้ามามุง ชะเง้อหน้ามาดู ประหนึ่งว่าเป็นดารา 555 เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย ก่อนลงพี่แกได้ให้ถุงเท้า(ไม่รู้ใส่ยัง) ลาย สปอนจ์ บ๊อบ กับพวกเรา 5555
อาเฮียได้ให้หินลายแปลกๆมา ส่วนน้องชายใส่แว่นให้ สร้อยคอเส้นนึง (เค้าพกของพวกนี้มาบนรถไฟด้วยเรอะ) พวกเราก็ ด้วยความไม่ได้พกของพวกนี้มาจริงๆ 55 เราเลยให้เหรียญไทย กับ น้า น้องชาย และเฮียชาวจีน ไปเป็นการขอบคุณ เราใช้เวลาอยู่บนรถไฟรวมทั้งสิ้น 29 ชมเต็ม!!! มากกว่าที่คาด 2 ชม ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าการขึ้นรถไฟที่ยาวนานนี้ทำให้เราได้มิตรภาพดีๆกลับมา แบบที่หาที่ไหนไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าถ้าได้ soft sleep อาจจะไม่ได้เตอพวกเค้าเหล่านี้ก็ได้
รถไฟจอดที่สถานีปลายทางสุดท้าย ปักกิ่งประมาณ 23.00 น.ของวันที่ 19-03-56 เราลงจากรถไฟ
หิมะตก!!! พวกเราเห็นหิมะตกครั้งแรกในชีวิต แต่ไม่ทันไร ความตื่นเต้นก็หายไป มีความหนาวเข้ามาแทนที่ อุณหภูมิวันนั้น ประมาณ 2 องศาเซลเซียส
พวกเรารีบไปเข้าคิวรอแท็กซี่ไป hostel
พอได้ขึ้นแท็กซี่ ด้วยสำเนียงพวกเรา ทำให้เฮียแกฟังไม่ออกว่าเราจะไปไหน เราจึงโทรไป hostel ให้ช่วยคุยกับแท็กซี่ให้หน่อย
แต่เฮียแกดู ดุดัน และ ไม่เป็นมิตรสุดๆ ขับรถฝ่าหิมะตกแบบซิ่งระเบิดระเบ้อ พาเราไปหน้าปากซอยทางเข้า hostel จนได้
เราจอง 365 inn เอาไว้ เก๋ไก๋ทีเดียว hostel นี้ ฝาผนังให้คนมาพักเขียนความในใจลงไปด้วย เป็น wallpaper เก๋ๆ

พวกเราไป check in ระหว่างจ่ายตังค์ ที่จีนแทบทุกๆ hostel มีเครื่องสแกนธนบัตรปลอม ปรากฎว่าเค้าบอกว่าเรามีแบงค์ปลอมรวมอยู่ 1 ใบจ้าา ใบ 100 หยวน เราก็เงิบ อารัยอ้ะ เราแลกเงินจาก super rich มั่นใจแน่นอน พวกเราจึงสันนิษฐานกันว่าได้มาตอนเช่าจักรยานที่กุ้ยหลินนั่นเอง ไม่เป็นไรถือว่าได้แบงค์ 100 หยวนก๊อปจีนเกรดเอไปเป็นที่ระลึก 
ตามโปรแกรมเที่ยวปักกิ่ง 3 วัน 2 คืนของพวกเรา เราจะไปแน่ๆคือ กำแพงเมืองจีน พระราชวังต้องห้าม ไปหาท่านเหมา











9/05/2556

GotoBeijingByTrain(5): guilin

เรามาถึงหยางซั่วท่ามกลางฝนพรำ แต่สิ่งที่สังเกตอย่างแรกเลยคือ เขาเรียงรายเป็น background 
เราจอง Yangshuo11 hostel ไว้ ที่หยางซั่วเป็นเมืองเล็กๆ ที่พักของเราอยู่แถว west street ที่เป็นถนนคนเดินของที่นี่
เดินมาไม่นานก็เจอ หาไม่ยาก ถึงแม้จะอยู่ในซอกซอย แต่มีป้ายเด่นๆอยู่หน้าปากซอยเลย
เข้ามา Hostel ให้อารมณ์อบอุ่น พนักงานก็ต้อนรับขับสู้เราอย่างดี

พวกเราจอง standard mixed dorm 6 คนไว้ เป็นเตียง 2 ชั้น 3 เตียง นอนร่วมกับ หนุ่มฮ่องกง และฝรั่ง รู้สึกที่พักเราจะแคบขึ้นเรื่อยๆตามระยะทาง 5555
หลังจาก check in แล้ว พวกเราก็ออกไปหาอะไรกิน และเที่ยวwest street กัน

West street เหมือนถนนคนเดิน มีของที่ระลึก ของกิน ขายเรียงราย ขอสวมวิญญาณ แม่ช้อยนางรำ ตระเวนกินอาหารรีวิวซะหน่อย
เดินไปเรื่อยๆ เจอร้านชานมไข่มุกจีน น่ารักน่ากิน แก้วนี้ราคา 60 บาท
ในร้านมีโพสอิทแปะไว้ให้เราเขียนตามใจชอบ พวกเราเลยฝากแปะไว้ประกาศความเป็นไทยซะเลย นี่แน่ะ 
เดินมาเจอร้านที่คล้ายๆเบอร์เกอร์จีน เค้าเคลมว่าไม่อร่อยคืนตังค์

เลยจัดมาชิม อันนี้เราสั่งไส้มังสวิรัต เหมือนเป็นไส้หัวหอมมากกว่า รสชาติพอไหว แป้งแข็งๆ รสเผ็ดๆ แต่ถ้าถามว่าจะซื้ออีกมั้ย ตอบเลยว่าไม่ 5555
เดินมาเรื่อยๆ เจอแมคโดนัลสาขาหยางซั่ว โหวตให้เป็นสาขาที่สวยที่สุดที่เคยเจอเลย แต่ไม่ได้แวะเข้าไปกินนะ
เพราะพวกเราอยากชิมอาหารพิ้นเมืองที่นี่ ไปเจอร้านนึง เหมือนมีแม่มาทำกับข้าวให้
มีกับข้าวให้ แล้วให้เราเลือกหยิบแบบบุฟเฟ่เลย แล้วเค้าก็เอาไปทำให้ ข้าวหุงแบบหม้อดินด้วย กลิ่นหอมแต่ไกล
แท่น แท๊นน เราก็ได้กับข้าวที่พวกเราเลือกเอง อันแรก มะระผัดไข่
อันต่อไปคิดว่าเป็นผัดผักใส่หมู
พอหนังท้องตึง ก่อนที่หนังตาจะหย่อน ก็ค่ำพอดี พวกเราก็ออกท่องราตรีที่หยางซั่วกันแบบไม่หวั่นแม้ฝนจะตก
หยางซั่วถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ผู้คนก็ไม่หลับไหลกันเลย
คืนนี้กลับไปพักผ่อนที่ hostel แล้วพรุ่งนี้เตรียมตัว ผจญภัยในขุนเขากันต่อ

19/03/56
เช้าตรู่ที่หยางซั่ว เช้าวันนี้ พวกเราขึ้นไปบนดาดฟ้าที่ hostel ของเรา ที่เค้าเคลมว่าวิวสวยอลังการ ขึ้นไปแล้วไม่ผิดหวังจริงๆ ความงามที่พวกเราสัมผัสเก็บได้ไม่หมดเท่าตาเห็นจริงๆ
ยอดเขารูปทรงมนๆ เหมือนล้อมเมืองนี้ไว้ มีสายหมอกตัดเป็นสาย อยากจะเอามันเผามาปิ้งกินชมธรรมชาติตรงนี้จัง ^_^ วิวตรงนี้มองหยางซั่วได้สุดลูกหูลูกตา
เราไปหาอาหารเช้ากินกัน มาจีนทั้งทีไม่ลองไม่ได้ ซาลาเปา นั่นเอง

ตามแพลนเราจะกลับกุ้ยหลินไปเที่ยวและรอขึ้นรถไฟไปปักกิ่งเวลา 18.55 น. แต่ที่หยางซั่วเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีกิจกรรมน่าทำมากกว่ากลับไปที่กุ้ยหลิน พวกเราจึง เที่ยวที่นี่ก่อนกลับ กิจกรรมที่พวกเราเลือกทำคือ ปั่นจักรยาน เพราะที่นี่เค้ามีจักรยานให้เช่าพร้อมแผนที่ให้ปั่น เย้ ไปลุยกันน
เราปั่นกันออกนอกเมืองเล็กน้อย แทบจะไม่เห็นรถเลย อากาศสดชื่น วิวข้างทางก็งดงาม ปั่นไปก็ชมวิวให้คุ้มค่า สวยทุกมุมจริงๆ 

เราสะดุดตากับร้านกาแฟและชาร้านหนึ่ง ชื่อ Yangshou tea cozy ที่เห็นแล้วแบบว่า ไม่เข้าไม่ได้อ่ะ ขอเลย จอดรถแล้วเลี้ยวฟ๊าบ พุ่งตัวเข้าไปทันที
จิบกาแฟ แลชมร้าน โหยย ฟินมาก
ชากลิ่นกุหลาบ ให้อารมณ์จีนสุดๆ มีกู่เจิ้งมาบรรเลงด้วยจะดีมากเลย
ฟินกันสักพักเราก็ออกปั่นกันต่อ แวะถ่ายรูปที่สวนดอกไม้เหลืองๆในแผนที่ จำไม่ได้แล้วว่าดอกอะไร
มีนักท่องเที่ยวปั่นกันมาบ้างประปราย
พอใกล้ถึงเวลาเราก็ปั่นกลับที่พัก เตรียมตัวขึ้นรถบัสไปกุ้ยหลิน
พวกเรานั่งรถบัสกลับไปกุ้ยหลิน กลับไปที่สถานีรถไฟที่พวกเราเจอน้องนะพัด 
ตอนนั้นแบบว่า เราต้องไปขึ้น hard seat 27 ชม ไปปักกิ่ง เป้าหมายสุดท้ายแล้วสินะ!! เรื่องราวบนรถไฟตลอดการเดินทางจะเป็นยังไง ต้องอึด ถึก และ ทนแค่ไหน ติดตามต่อตอนหน้าค่ะ 




















9/01/2556

GotoBeijingByTrain:(4) 24 hrs บนรถบัสมุ่งสู่ฮานอย!!!


ความเดิมตอนที่แล้ว จากกระทู้นี้ http://pantip.com/topic/30922651
พวกเราสี่คนตัดสินใจเดินทางตามความฝัน นั่งรถไฟจากหัวลำโพง ไปยังจุดหมายปลายทางที่ ปักกิ่ง ประเทศจีน โดยมีเส้นทางคือ
หัวลำโพง > เวียงจันทน์ > ฮานอย > หนานหนิง > กุ้ยหลิน > ปักกิ่ง
   
เป้าหมายต่อไปของเราคือ ฮานอยยนั่นเอง!! เราจะอยู่ที่ฮานอย 2 วัน 1 คืน แต่จากเวียงจันทร์ไปฮานอยเนี่ย เท่าที่หาข้อมูลมา ยังไม่มีรถไฟไปถึง มีการคมนาคมทางเดียวที่พอจะไปถึงได้คือนั่งรถบัส!! พวกเราจองรถบัสไปฮานอยที่สถานีขนส่งสายใต้ที่เวียงจันทร์ รถบัสที่จะไปฮานอยออก 19.00 น. นี่คือโฉมหน้ารถบัสที่จะพาเราไปสู่ฮานอย
พวกเราจะไปถึงฮานอยในวันพรุ่งนี้ 14|03|56 เวลาประมาณราวๆ 18.00-19.00 น ตามเวลาไทย นั่นก็หมายความว่า เราต้องนั่ง กิน และนอนบนรถบัสนี้เป็นเวลา 24 hrs!!! 
นี่คือสภาพด้านในรถบัส ออกแบบให้เป็นรถนอน มีที่ให้ซุกขาด้านหน้า เค้าจะให้ถอดรองเท้าก่อนขึ้นรถ เพราะพื้นจะเป็นเบาะนิ่มๆ ซึ่งตอนแรกไม่รู้ว่าทำไม แต่เดี๋ยวมาดูกันว่าทำไมมันต้องเป็นพื้นนิ่ม
พวกเราจัดแจงที่ทางของตัวเอง เวลาทุ่มนึงรถก็ออกจากเวียงจันทร์มุ่งสู่ฮานอย 
ต้องขอชมเลยว่าพี่คนขับ เก่งระดับ วิน ดีเซล ใน fast and furious ซะอีก เส้นทางคดเคี้ยวอย่างไร พี่แกไปได้แซงได้แบบฉลุย แต่เราก็ลุ้นทุกครั้งที่แซง พวกเราหลับๆตื่นๆ คนในรถส่วนใหญ่พูดภาษาเวียดนาม และประหนึ่งว่ารู้จักมักจี่กันมาก่อนทั้งรถ เราก็พูดไทยกันเต็มที่ ไม่มีใครฟังเราออกหรอก555 เค้าก็ดูแปลกใจที่คนไทยมานั่งรถทัวร์แบบนี้ ที่น่าประหลาดใจอีกอย่างก็คือ จะจอดรับแต่ละที่ ผู้คนที่ขึ้นมาต่างคนก็จับจองที่นอนของตัวเอง เราเห็นกองทัพคนกรูขึ้นมาและเริ่มคลานลงใต้เบาะต่างๆ รวมถึงเบาะพวกเราด้วย!!! Oh my god!!! นอนกันไปได้
นอนกันไปสักพัก ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า เรานอนฟังเพลงอยู่ ไม่ได้ระวัง ทำแว่นร่วงลงไปในร่องเบาะนอน พยายามเอามือควานๆหาที่เบาะไม่เจอ เลยเอามือล้วงลงไปในร่อง คิดภาพตามนะ คล้ายๆเบาะรถทัวร์ที่มีร่องระหว่างเบาะกับพนักพิง ทันใดนั้น จู่ๆก็มีมือปริศนา มาคว้ามือเราหมับ!! เราร้องกรี๊ดรีบชักมือกลับ สะกิดเพื่อนทันที แว่นนี่แบบไม่เอาแล้ว นอนไม่หลับเลยทีนี้ พอรถขับไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงแก๊กๆ ใต้เบาะ เราก็หันไปดู มีมือยื่นแว่นมาให้เรา เราก็ตกใจ แต่ก็รับมาและเผลอขอบคุณเป็นภาษาไทย นึกได้ก็พูด thank you ไปอีกทีนึง ตอนนี้เราก็ยังไม่เห็นหน้าบุรุษปริศนาผู้นั้นเลย

พอตกดึกๆ ก็จะมีชายฉกรรจ์หลายนายกระเหี้ยนกระหือรือ ลงไปบอกคนขับให้จอดรถเพื่อลงไปชิ้งฉ่อง และสูบบุหรี่ เสร็จแล้วก็ปีนกลับมานอน เสียงกรนแข่งกันบ้าง ถึงชายแดนน้ำพร้าวประเทศลาว ประมาณ ตีสอง แต่ด่านเปิดประมาณ 7 โมง จึงนอนรอในรถสักพัก พอเช้ามืดพวกเราก็ลุกออกมานอกรถ เพื่อแปรงฟัน ^_^ (สิ่งที่พวกเราไม่เคยลืม) น่าแปลกที่ทำไมคนอื่นๆที่นั่งไปด้วย ไม่มีใครพกแปรงสีฟันมาแปรงเหมือนเราสักคน 5555 
นี่คือชายแดนน้ำพร้าวตอนเช้าตรู่ ของวันที่ 14 มีนาคม 2556
สภาพรถทัวร์หลายคันมาจ่อคิวรอเพื่อรอด่านเปิด
วิวที่นี่สวยมากๆ อากาศดีสุดๆ ได้แปรงฟันท่ามกลางขุนเขา และธรรมชาติ
              
และวันนี้มันก็มาถึง สภาพหน้าที่ไร้เมกอัพบดบังของพวกเราได้ออกสู่สายตาสาธารณะมากๆ หน้าสดๆกันเลยทีเดียวงานนี้ ห่วงสวยไม่ได้จริงๆ คอยดูเถอะ ไปปักกิ่งเมื่อไร กะจะจัดเต็มเลยค่ะ 555
             
และแล้วด่านก็เปิด คนขับเก็บพาสปอร์ตของพวกเราไปเพื่อปั๊มเข้าประเทศ หลังจากนั้นเราก็รอเอา แต่พวกเราไม่ได้นั่งรถเข้าด่านนะจ๊ะ ต้องเดินไปค่ะ เพราะคนขับจะขับรถพร้อมสัมภาระเราบนรถข้ามไปล่วงหน้าก่อน ระยะทางที่เดินผ่านประมาณ 1 กม แต่ไม่เหนื่อยเท่าไร เพราะอากาศดี และสองข้างทางก็ค่อนข้างสวยทีเดียว อีกอย่างเราก็มีคนเดินเป็นเพื่อนพวกเราเยอะแยะเลยค่ะ 555
พอเดินไปถึง ชายแดนประเทศเวียดนามก็กลับขึ้นรถพร้อมเดินทางต่อ ทางในเวียดนามค่อนข้างชัน แคบและโค้งทีเดียว คล้ายๆขึ้นเขาเชียงใหม่บ้านเรา แต่พี่คนขับเราเก๋า มือชั้นนี้ บีบแตรตลอดทาง
   
พอถึงเวียดนามสักพักก็แวะลงกินข้าว เป็นร้้านคล้ายๆข้าวราดแกง ปนกับขายของฝากท้องถิ่น
พวกเราก็เอ๋อค่ะ สั่งยังไงหล่ะทีนี้ เดินไปด้อมๆมองๆสักพัก ก็มีเสียงพูดไทยดังขึ้น "สั่งเป็นมั้ย" เป็นเสียงของหนุ่มเวียดนามที่จู่ๆก็พูดไทยได้ ช่วยเราสั่ง (ที่เราพูดไทยกันไปบนรถเค้าก็ฟังออกกันหมดเลยสินะ! 555)  พวกเราก็เลียนแบบตามๆเค้ามา อาหารมื้อแรกที่เวียดนามได้หน้าตามาเป็นแบบนี้
ข้าวจานนึงกินได้ประมาณ 4 คน แต่พวกเราสั่งคนละจาน 555 ตกจานละประมาณ 160 บาท รสชาติแบบว่า อธิบายไม่ถูกจริงๆ เปรี้ยวๆ ปนจืดๆ กินเพื่ออยู่อีกแล้วค่ะ 555 
ออกเดินทางต่อ พอเข้าประเทศเวียดนาม บรรยากาศสองข้างทางก็เปลี่ยนไป ป้ายเริ่มเป็นภาษาที่เราอ่านไม่ออก มีสาวๆแต่งชุดประจำชาติปั่นจักรยานใส่หมวกเหมือนในหนัง ปั่นกันมาเป็นแก๊ง คล้ายๆแก๊งแฟนฉัน
เรามาถึงฮานอยในตอนค่ำๆ สิ่งที่พวกเรากังวลคือ พอลงจากรถมันก็ค่ำแล้วต้องหาแท็กซี่เพื่อที่จะรีบไปซื้อตั๋วรถไฟไป หนานหนิง ประเทศจีน แล้วต้องไป check in ที่โรงแรมที่จองไว้ ซึ่งตามที่รีวิวมาแท็กซี่ที่ฮานอยราคาค่อนข้างโหดทีเดียว เราก็เริ่มเล็งๆหาคนที่น่าจะช่วยพวกเราได้บนรถ นั่นคือ อาม่า ซึ่งเป็นคนแก่คนเดียวบนรถ 55 ท่าทางใจดี อาม่าบอกว่า เดี๋ยวช่วยเรียกแท็กซี่ให้ แกบอกแท็กซี่ว่าพวกเรามากะแก 
ขอบคุณอาม่ามา ณ ที่นี้ด้วยค่า
เราก็ได้แท็กซี่ไปสถานีรถไฟ Ga Hanoi ตามที่รีวิวไว้ 
พอเรามาถึงเราก็มาจองตั๋วรถไฟไปหนานหนิงกัน เป็นวัน